ความหมายของคำว่า "เจ" 齋

คำว่า "เจ" (齋) ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า "อุโบสถ" คำว่า "กินเจ" ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยนั้นถืออุโบสถศีลหรือการรักษาศีล 8 โดยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว

แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายาน การไม่กินเนื้อสัตว์มักนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" ไปรวมกับคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย ปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ความหมายก็คือ "คนกินเจ" ไม่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ ยังต้องดำรงอยู่ในศีลธรรมอันดี บริสุทธิ์ สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน จึงจะเรียกว่า "กินเจที่จริง"

ฉะนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ "ถือศีลกินเจ" นับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน 9 ตามร้านขายอาหารเจทั่วไป เรามักจะเห็นตัวอักษรภาษาจีน 齋 ซึ่งจะเขียนตัวอักษรด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลือง อักษรคำนี้อ่านว่า "ไจ" แปลว่า "ไม่มีของคาว" จะปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจเหล่านั้น

ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งความสิริมงคลในชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ผู้ตั้งใจบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องเตือนสติให้ผู้ที่กินเจระลึกไว้เสมอว่า การไม่กินเนื้อสัตว์ คือการปฏิบัติธรรมรักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่มวลมนุษย์และก่อให้เกิดสันติสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง

วันทั้ง 7 อันควรงดเว้นเนื้อสัตว์
ถึงแม้ยังมีผู้คนอยู่อีกจำนวนมาก ยังคงเข่นฆ่ากินเลือดกินเนื้อสัตว์อยู่ทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุดก็ควรหยุดคิดสักนิดให้เห็นถึงความสำคัญของวันทั้ง 7 ที่ควรงดเว้นเนื้อสัตว์ ดังนี้

1.วันเกิดของตนเอง วันที่เราได้มีชีวิตใหม่ไม่ควรทำลายชีวิตผู้อื่น สัตว์ทั้งหลายเมื่อถือกำเนิดมาต่างก็อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปฆ่าผู้อื่น กินเลือดกินเนื้อเขาเพื่อฉลองวันที่เราเกิดมา มนุษย์พากันฉลองวันเกิดด้วยชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์ เป็นการตัดทอนอายุขัยของผู้อื่นให้สั้นลง แล้วจะหวังให้ตนเองมีอายุยืนยาวได้อย่างไร?

2.วันเกิดของลูกหลาน วันที่ชีวิตใหม่ถือกำเนิด ผู้เป็นพ่อแม่ต่างชื่นชมยินดีเป็นที่สุด ลูกของเรารักดังแก้วตาดวงใจ สัตว์ทุกตัวรักลูกของตนเช่นเดียวกับมนุษย์ เวลามีลูกอ่อนจะไม่ให้ใครเข้าใกล้ เฝ้าระแวดระวังภัยไม่ยอมหลับนอน พ่อแม่ทั้งหลาย เมื่อถึงวันเกิดลูกเลี้ยงฉลองให้ลูกด้วยชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์แล้วจะหวังให้ลูกตนมีอายุยืนได้อย่างไร? สัตว์โลกทั้งหลายล้วนมีกรรมเป็นของตน ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่มนุษย์เรา

3.วันแต่งงาน เป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งในชั่วชีวิตหนึ่ง คือ วันเริ่มต้นครองชีวิตคู่ ได้อยู่ร่วมกันกับคนที่เรารัก ทุกคนเมื่อแต่งงานแล้วก็อยากมีชีวิตรักที่ยั่งยืน อยู่ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า สัตว์ก็มีชีวิตคู่ รู้จักรักและหวงแหนคู่ชีวิตของเขาเช่นกัน ในงานเลี้ยงฉลองวันแต่งงานเราจึงไม่ควรพรากคู่ชีวิตของผู้อื่นเขามาเลี้ยงฉลองในงานมงคลของเรา

4.วันเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร การได้อยู่ร่วมชุมนุมกัน พบเจอกันอีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าปีติยินดียิ่งนัก บรรยากาศมีแต่ความรื่นเริงสนุกสนาน โอกาสที่น่ายินดีเช่นนี้ ไม่ควรใช้ชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่นมาเลี้ยงฉลองความดีใจ สัตว์ทุกตัวต่างก็มีพ่อมีแม่ พี่น้องเพื่อนฝูงต่างก็ห่วงใยเฝ้ารอคอยการกลับมาพบเจอกันอีกเช่นเดียวกัน

5.วันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ มีคำกล่าวว่า "1 วันพ่อแม่เลี้ยงดูเรา 100 ปี ปรนนิบัติท่านทดแทนคุณ" ยามที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ควรกตัญญูรู้คุณ เมื่อท่านจากไปแล้ว ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษเพื่อแสดงความกตัญญู ไม่ควรทำให้ชีวิตผู้อื่นล้มตาย บรรพบุรุษของเราย่อมไม่ยินดีเป็นแน่

6.วันทำบุญสร้างกุศล ในงานทำบุญสร้างกุศลทุกงาน ไม่ว่าจะขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการร้านค้า ไม่ควรเลี้ยงแขกเหรื่อ เพื่อนฝูงด้วยชีวิตและความตายของสัตว์ หากทำเช่นนั้นจะหวังความเจริญรุ่งเรือง และความสงบสุขในชีวิตได้อย่างไร?

7.วันขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ในสากลโลก ไม่เคยทอดทิ้งคนดี ฉะนั้นในโอกาสที่ไปกราบสักการะต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ควรชำระปากให้สะอาดด้วยการกินเจ เว้นจากการกินเนื้อสัตว์ กระทำตนให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจาและใจ เมื่อนั้นจึงจะบังเกิดความสุข ความเจริญ เป็นสิริมงคลแก่ตัวเองโดยมิต้องร้องขอในสิ่งใดๆ เลย.

ไม่มีความคิดเห็น: