10 เมนูเด็ด เสี่ยงโรคร้าย
เบอร์เกอร์-พิซซ่า...อันตราย!!!

"อาหาร"!!! ถือเป็นหนึ่งใน "ปัจจัย 4" ที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ ซึ่งตามหลักทั่วไป อาหารที่รับประทานเข้าสู่ร่างกายจะต้องมีคุณภาพดี มีสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอตามที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ ที่สำคัญคือต้องสะอาดและปราศจาก "สารพิษ" เจือปน อันจะก่อให้เกิดภัยอันตรายแก่สุขภาพ

อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าการเลือกรับประทานอาหารในแต่ละเมนูของมนุษย์ จำเป็นต้องคัดสรรมากขึ้น เพราะในปัจจุบันมี "อาหารอันตราย" ไม่ปลอดภัยต่อร่างกายอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจากข้อมูลของ "Team Content" สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่ามี "เมนูโปรด" ของใครหลายคนถูกจัดเป็น "อาหารอันตราย" อย่างน้อยๆ 10 ชนิด ได้แก่.....

1.แฮมเบอร์เกอร์
แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้นและนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆ ของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า “เนื้อวัวแท้” (Pure Beef) จัดเป็นอาหารประเภทที่ "มีความเสี่ยงสูง" เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอ กระบวนการนำ "เนื้อ" มาใช้ปรุงทำให้มี "แบคทีเรีย" เกิดขึ้นได้สูง ทำให้ต้องมีการใช้ "สารเคมีสีแดง" มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ "สารปรุงรส" (MSG = Monosodium Glutamate โมโนโซเดียมกลูตาเมต) ซึ่งจะทำให้ปวดศีรษะ และจะเกิดอาการแพ้ โดยที่ "MSG" เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น ท้ายที่สุดก็จะทำให้ผู้บริโภคอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ

2.ฮอทด็อก
เป็นอีกหนึ่ง "เมนูอันตราย" เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายกับแฮมเบอร์เกอร์ และ "ฮอทด็อก" ทั้งหมดยังใส่ "สารไนไตรท์" เพื่อช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม โดย "สารไนไตรท์" เป็นสารที่ทำให้เกิด "โรคมะเร็ง" ในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ "ถุงหลอด" ที่ใช้บรรจุฮอทด็อกก็ทำจาก "คอลลาเจนสังเคราะห์" ที่เป็นสารก่อให้เกิด "โรคมะเร็ง" ได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบที่ไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% และเมื่อนำไปปิ้งย่างแล้ว มันจะทำให้มีสารพิษร้ายแรง ที่เรียกว่า "อะคริลิไมด์" (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็งและ "ทำลายประสาท"

3.เฟร้นช์ฟราย-มันฝรั่งทอด
เป็นอาหารที่มี "ความเป็นพิษสูง" การทอดเฟร้นช์ฟรายจะใช้อุณหภูมิสูง จึงทำให้มี "สารอะคริลิไมด์" ออกมา ซึ่งนอกจากนี้ "น้ำมัน" ที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งแต่ละครั้ง ยังจะทำให้เกิดการ "ออกซิไดซ์" ทำให้ในมันฝรั่งยังมี "ดรรชนีกลีซิมิค" (Glycemic) อยู่สูงมาก นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก

4. คุกกี้
ที่เด่นชัดมาก คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูง จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

5.พิซซ่า
พิซซ่าประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ "ตัดแต่งพันธุกรรม" 5 ชนิด คือ
5.1 "เนยแท้" (Cheese ชีส) เพียง 10% เท่านั้น ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย
5.2 "แป้ง" ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาว เพราะได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่
5.3 "ซอสมะเขือเทศ" ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง "ยาฆ่าแมลง" ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน
5.4 "แป้งสาลี" ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม
5.5 มี "น้ำมันฝ้าย" ประกอบอยู่ โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ในฝ้ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆ เอาไว้ ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธารณสุข ต่างไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่ มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็น "น้ำมันไฮโดรจีเนต" และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ "ผิวหน้าแป้งพิซซ่า" ที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจมี "สารอะคริลิไมด์" เกิดขึ้นมาด้วย ในขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า "เพ็พเปอโรนิ" หรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก "ไนไตรท์" สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน


6.น้ำอัดลม
สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน "น้ำอัดลม" คือ "กรดกำมะถัน" (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ และ "น้ำโซดา" ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวของน้ำอัดลมจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก จนทำให้เกิด "โรคกระดูกพรุน" นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะมี "น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน" อยู่ 12 ช้อนชา ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือที่เรียกว่า Diet soda ใช้ "น้ำตาลเทียมสังเคราะห์" (Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะน้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก ขณะที่ "สี" ที่ใช้เติมในน้ำอัดลมยังเป็น "สารก่อมะเร็ง" ด้วย

7.ชิ้นไก่ทอด-เนื้อนุ่มไร้กระดูก
เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆ การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมัน มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส "MSG" ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ "นัคเก็ตชิคเก้น" บางอันจะมี "สารอะลูมิเนียม" ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตาโบลิซึมของร่างกายด้วย

8.ไอศกรีม
มีไขมันอยู่สูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มากเกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน (Transfat) ไปจากธรรมชาติและยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

9.โดนัท
โดยเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตาโบลิซึมช้าลง เป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดี และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

10.อาหารขบเคี้ยวยามว่าง
ในปัจจุบันมีการบริโภค "โปเตโต้ชิพ" กันมาก โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ชิพในแต่ละครั้ง จะเกิดการออกซิไดซ์ และทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาทออกมา นอกจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพเพียง 1 ถุง อาจจะได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น อาจได้รับสารอะคริลิไมด์ เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว นอกจากนี้ใน "โปเตโต้ชิพ" ยังมีไขมันอิ่มตัวแอบแฝงอยู่มาก มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได้ และยังไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร ที่รับประทานเข้าไปได้น้อยลง ทำให้ปิดกั้นการดูดซึม "สารคาโรทินอยด์" และสารเคมีอื่นๆที่ได้มาจากพืชที่ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคจุดด่างของผิวหนังทำงานได้ด้อยลง

รู้โทษของอาหารเหล่านี้แล้ว ควรจะหลีกเลี่ยงแล้วหันไปรับทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพดีกว่า!!!

ไม่มีความคิดเห็น: