อาหารตามธรรมชาติของมนุษย์

หากจะพิจารณาว่าร่างกายของคนคือรถยนต์ รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อเป็นพลังงานขับเคลื่อน สำหรับร่างกายก็ต้องการอาหาร น้ำและอากาศ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ ร่างกายต้องการอาหารเพื่อสร้างพลังงานและเพื่อใช้ในการซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอ หากได้รับอาหารไม่เพียงพอถึงระดับหนึ่ง ร่างกายก็จะผ่ายผอมลง เนื่องจากร่างกายจะนำเอาส่วนเกินที่เก็บไว้มาเลี้ยงร่างกาย และในทางกลับกัน ถ้าหากรับประทานอาหารปริมาณมากเกินกว่าร่างกายต้องการก็จะเกิดโรคอ้วน

ร่างกายต้องการอาหาร 5 หมู่ ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แร่ธาตุและวิตามิน อาหารทั้ง 5 หมู่นี้จะพบได้ในพืชมากกว่าในเนื้อสัตว์ ได้แก่ เมล็ดพืช ถั่ว นม เนย จะอุดมไปด้วยโปรตีน สำหรับข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าว เมล็ดพืช มันฝรั่ง จะมีคาร์โบไฮเดรต แป้งและน้ำตาล

สำหรับแร่ธาตุตามธรรมชาติ เช่น เหล็ก โพแทสเซียม ด่าง โซดา ฯลฯ จะทำหน้าที่ขจัดสิ่งสกปรกทั้งหลาย ทำให้เลือดสะอาดบริสุทธิ์และได้พลังงานไฟฟ้า แร่ธาตุเหล่านี้จะมีอยู่แต่ในพืช ผักและผลไม้เท่านั้น จะไม่มีในเนื้อสัตว์ อีกทั้งพืชผักและผลไม้เหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นตัวทำให้เลือดเป็นด่าง จึงสามารถนำคาร์บอนไดออกไซด์ไปยังปอด เพื่อทำการฟอกให้บริสุทธิ์

วิตามินต่างๆ ก็มีอยู่ในผักสด เช่น ผักกาด กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ต่างก็อุดมด้วยวิตามิน A, Bและ C หากต้มก็พอจะมีเหลืออยู่บ้าง แต่อย่านำไปผัด ให้รับประทานสดจะได้ประโยชน์ดีมาก วิตามิน C ซึ่งมีประโยชน์ต่อกระดูกและฟันจะมีอยู่ผลไม้และผักสีเขียว วิตามินต่างๆ เหล่านี้จะหมดไปหากผักผลไม้เหล่านั้นถูกแปรรูปเป็นอาหารแห้งหรืออาหารกระป๋อง

ผักสดและผลไม้มีสารที่สามารถป้องกันโรคลักกะปิดลักกะเปิด และโรคต่างๆ อีกหลายชนิด ถ้าหากรับประทานเนื้อสัตว์ ท่านจะเสี่ยงต่อโรคพยาธิตัวจี๊ดและพยาธิต่างๆ ที่มีอันตรายต่อชีวิต หากรับประทานสุกๆ ดิบๆ ปัจจุบันนี้ แพทย์ส่วนใหญ่รวมทั้งนักโภชนาการ ได้แนะนำคนไข้ให้หลีกเลี่ยงรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก้าท์ รูมาติซั่ม ฯลฯ การรับประทานธัญพืช ผัก ผลไม้ ยังป้องกันโรคที่เกี่ยวกับโรคกรดยูริกสูงด้วย

ทางการแพทย์ยังพบว่า การรับประทานเนื้อทำให้มีกรดยูริกตกค้างอยู่ในร่างกายเกินกว่าที่ร่างกายเกินกว่าที่ร่างกายจะขจัดได้ จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น เก้าท์ รูมาติซั่ม ปวดศีรษะ โรคลมบ้าหมู โรคชักกระตุกและโรคประสาท ฯลฯ โรคต่างๆ เหล่านี้ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ หากผู้ป่วยยังคงรับประทานเนื้อสัตว์อยู่ เพราะตับ1 ปอนด์มีกรดยูริกถึง 19 กรัม แต่ร่างกายสามารถขจัดออกทางไตเพียง 6 กรัม เท่านั้น ที่เหลือยังตกค้างอยู่

ศาสตราจารย์ เอส เอ็ม อมิ นักธรณีวิทยาที่มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยมอลเตรียล ประเทศคานาดา ได้รายงานในหนังสือ ภูมิศาสตร์ของอเมริกาเหนือว่า อาหารของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์ใดๆ เลย แต่ต้องรับประทานเนื้อสัตว์เพราะความจำเป็นบังคับ เนื่องจากป่าลูกนัทและผลไม้ป่าถูกทำลาย จากภูเขาน้ำแข็งปกคลุมพื้นที่ตอนเหนือในยุคน้ำแข็ง

โดยทั่วไปอาหารทุกชนิดได้ผลิตจากพืชผักที่ได้ดูดซับและเก็บพลังแสงอาทิตย์เอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นพลังงานชีวิต พลังงานที่พบในเนื้อสัตว์คือพลังที่เหลือใช้จากสัตว์ เนื้อสัตว์ตัวหนึ่งกินเนื้อสัตว์อีกตัวหนึ่งก็เหมือนมันกินพืชที่ใช้แล้ว ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือมนุษย์ทั่วไปจะเลือกกินเนื้อสัตว์ที่กินพืช เช่น วัว หมู แกะ เป็ด ไก่ เป็นต้น หรือแม้แต่สัตว์ป่าที่เป็นนักล่าก็กินเนื้อสัตว์ที่กินพืชเช่นเดียวกัน เช่น กวาง กระต่าย หมูป่า เพราะจะได้รับเศษพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่สัตว์กินพืชกินมาและเก็บสะสมไว้นั่นเอง ไม่ใช่ไปกิน เสือ สิงโต หมาป่า ตะกวด ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ และไม่มีพลังงานจากแสงอาทิตย์เก็บสะสมไว้เลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ชาวเอสกิโมจะนิยมกินกระเพาะกวางแรนเดียร์สดๆ ก็เพื่อจะกินพืชและผักสดๆ ที่อยู่ในกระเพาะของกวางแรนเดียร์นั่นเอง ทั้งนี้เนื่องจากชาวเอสกิโมไม่มีทางเลือก

อันตรายของเนื้อสัตว์ก็เนื่องจากอาหารจากเนื้อสัตว์ต่างก็พร้อมที่จะเน่าสลายได้ภายในเวลาอันไม่นานนัก แม้แต่ไข่ก็จะเน่าสลายเช่นเดียวกัน แต่การเน่าสลายของพืชผักไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างการเน่าสลายของเนื้อสัตว์ โปรตีนจากเนื้อเน่าสลายเร็วกว่าโปรตีนจากพืชผักถึง 2 เท่า

กฎเกณฑ์ที่ควรปฏิบัติในการกิน

ท่านกินอย่างไรท่านก็ต้องเป็นอย่างนั้น อาหารอะไร เครื่องดื่มชนิดไหนที่ท่านรับประทานและดื่มเข้าไป ย่อมมีผลต่อร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณของท่าน เพราะอาหารและเครื่องดื่มแต่ละชนิดจะทำปฏิกิริยาทางเคมีต่อร่างกายที่แตกต่างกัน

การเลือกซื้ออาหารในท้องตลาดหรือภัตตาคาร อย่าเลือกเพราะมีรสชาติอร่อยน่ารับประทานเท่านั้น แต่ควรเลือกซื้อเฉพาะอาหารที่ร่างกายต้องการจริงๆ รู้จักระมัดระวังถึงนิสัยการกินคือ ระหว่างอาหารประเภทที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจจริงๆ กับอาหารที่อร่อยน่ารับประทานแต่ให้โทษต่อร่างกาย เพราะเต็มไปด้วยสารแปรรูปผิดธรรมชาติที่ร่างกายไม่ต้องการ ไม่นานท่านก็จะเติบโตผิดธรรมชาติและเกิดโรคต่างๆ อีกทั้งจิตใจผิดปกติ

อาหารธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่งมีมากหลายตลอดปี อาหารที่มีคุณค่าทางสุขภาพมีอยู่ด้วยกัน 7 หมู่ คือ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ ธัญพืชและน้ำ ส่วนอาหารที่มีสีสันน่ารับประทาน รสชาติอร่อยส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ผลิตขึ้นเพื่อการค้า ราคาแพง แต่ร่างกายไม่ต้องการ จึงขอให้หักห้ามใจในการซื้ออาหารน่ารับประทานเพราะแรงโฆษณา ให้กลับไปรับประทานอาหารธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่งเสียตั้งแต่บัดนี้

อาหารธรรมชาติตามหลักแมคโครไบโอติกส์

มนุษย์เหมือนสัตว์อื่นทั้งหลาย นั่นคือต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาหารธรรมชาติจึงมีประโยชน์โดยตรงอย่างแท้จริงต่อมนุษย์ ยิ่งในภาวะที่สิ่งแวดล้อมกำลังเป็นพิษดังปัจจุบันนี้ อาหารธรรมชาติจึงน่าจะมีส่วนช่วยท่านได้บ้าง อาหารธรรมชาติมีมานานนับพันปี บรรพบุรุษของท่านได้รู้จักคุณค่าของมันเป็นอย่างดี ท่านเหล่านั้นจึงมีอายุยืนและสุขภาพดี ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารธรรมชาติที่จะกล่าวถึงนี้ได้รวบรวมเรียบเรียงจากหนังสือแมคโครไบโอติกส์ ของมิชิโอะดูซิ พิมพ์เมื่อปี 1990-1991 เพื่อเสนอต่อนักโภชนาการหรือผู้สนใจ ดังต่อไปนี้

อาหารธรรมชาติประจำวันประกอบด้วย
1.อาหารหลัก ให้รับประทานทุกวันมี 3 ประเภทคือ
* 1.1 ข้าวกล้องหรือข้าวอย่างอื่นที่ไม่ได้ขัดหรือธัญพืชต่างๆ วันละ 50-60%
* 1.2 ผักสดต่างๆ ปรุงง่ายๆ ปรุงทั้งราก ทั้งต้นและใบ
* 1.3 อาหารประเภทซุป ปรุงจากถั่วเหลือง ผักสด ผักทะเล ผลิตภัณฑ์ของถั่วต่างๆ เช่น เต้าหู้ ซอสต่างๆ ก็ใช้ได้ อาหารเหล่านี้มีประมาณวันละ 10-20%

2.อาหารเสริม เช่นถั่วชนิดต่างๆ และเมล็ดพืชตามฤดูกาลก็รับประทานได้เป็นบางครั้ง นอกจากนี้ยังมีขนมหวาน ผักดองต่างๆ ให้รับประทานในปริมาณน้อยๆ ก็ถือว่าเป็นอาหารเสริม พืชทะเลให้รับประทานทุกวันเป็นเครื่องเคียงประมาณ 5% หรืออาจจะใส่ในซุปต่างๆ ก็ได้

3.ถั่วและเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ที่คั่วหรืออบอาบเนยให้รับประทานเป็นอาหารว่าง แต่ไม่ควรรับประทานมากๆ เช่น ถั่วหรือเนย เพราะย่อยยากและมีไขมันมาก

4.ผลไม้ ให้รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะรับประทานสดๆ หรือแปรรูปเป็นผลไม้แก้วหรือขนมก็ได้ ควรรับประทานเฉพาะผลไม้ที่ผลิตได้ไม่เกินรัศมีจากที่ท่านอยู่ 500 กิโลเมตร เช่นเมืองไทยอยู่ในเขตร้อน จึงควรรับประทานผลไม้ประเภท ส้ม สัปปะรด มะม่วง มะละกอ น้อยหน่า มังคุด ละมุด ฯลฯ และควรหลีกเลี่ยงผลไม้เมืองหนาว เช่น แอปเปิ้ล ลูกแพร์ กีวี สตรอเบอร์รี่ เป็นต้น

5.ประเภทของหวาน ให้รับประทานได้ในปริมาณพอสมควร สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง อาจเป็นผลไม้หวานๆ หรือขนมหวาน หากจะใช้น้ำตาลก็ขอให้หลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายขาว

6.เครื่องปรุง ให้ใช้ผลิตผลที่ทำขึ้นจากธรรมชาติ เช่น เกลือทะเล น้ำปลา มิใช่เกลือที่เกิดจากกรรมวิธีทางเคมี การเติมเครื่องชูรส เช่น น้ำส้มสายชู พริกไทย พริก ขอให้เติมขณะที่ปรุง และไม่ควรให้มีรสจัดเกินไป

7.น้ำมัน เช่นเดียวกัน ให้ใช้น้ำพืชจากข้าวโพด น้ำมันจากเมล็ดทานตะวันหรือโอลีฟเหล่านี้ ให้ใช้น้ำมันที่ยังไม่ได้ฟอก

8.เครื่องชูรส ให้ใช้ปริมาณเล็กน้อย สำหรับเครื่องเคียงก็ให้ใช้รับประทานได้ทุกวัน ได้แก่ ผักดองต่างๆ ที่ท่านดองเองซึ่งปราศจากสารกันบูด

9.เครื่องดื่ม ดื่มจากน้ำแร่หรือน้ำตาล เพื่อใช้ชงชาต่างๆ ควรดื่มแต่น้อยในเครื่องดื่มประเภท ชาเขียว น้ำส้ม ไวน์ เบียร์หรือสาเก สำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำกลั่น น้ำหวาน นม ผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ ควรดื่มแต่น้อยหรืองดเว้น.

ไม่มีความคิดเห็น: